"สำนักข่าวอีไฟแนนซ์ไทย" สำรวจหุ้นเด่น(Top Pick) จากโบรกเกอร์ 6 แห่ง พบ 28 บจ.เข้าเป้า"ซื้อ" ส่วนใหญ่เป็นหุ้น Defensive-Laggard-ปันผลสูง เหมาะลงทุนในภาวะหุ้นไทยผันผวน ระบุ BCH-BDMS-CPF-INTUCH-SEAFCO เข้าตาเซียนมากสุด
*** บล.เอเซีย พลัส ชี้เป้า 6 หุ้นเด่น
บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส แนะนำ เลือกหุ้นที่ผ่านบททดสอบโควิด-19 และมีความสามารถในการปรับตัวและทำกำไรโดดเด่นกว่าบริษัทอื่นๆในปี 63 โดยคัดเลือก 6 หุ้น Top Pick ประกอบด้วย
หุ้น Top Pick จาก บล.เอเซีย พลัส
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัปไซด์*
|
คาดการณ์กำไรปี 63 (%)
|
%Div. Yield
|
INSET
|
4.18
|
23.67
|
22.06
|
3.4
|
SEAFCO
|
8.2
|
23.31
|
-7.07
|
4.42
|
INTUCH
|
70
|
22.81
|
-7.82
|
4
|
CPF
|
40
|
17.65
|
16.78
|
2.5
|
CPALL
|
78
|
16.85
|
1.83
|
1.9
|
BGRIM
|
62
|
16.43
|
5.94
|
0.7
|
*%อัปไซด์เทียบราคาเหมาะสมกับราคาหุ้น 17 ก.ค.63
|
บมจ.อินฟราเซท (INSET) : เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Data Center มีโอากาสรับงานเพิ่มต่อเนื่องจากการลงทุน 5G ล่าสุดมีงานในมือ(Backlog) สูงถึง 2.3 พันล้านบาท รับรู้ปีนี้ราว 70% และมีโอกาสรับงานใหม่ต่อเนื่อง จากพันธมิตรรายใหญ่ในอุตสาหกรรม อาทิ TOT, CAT และ TRUE คาดกำไรปีนี้เติบโต 22% ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันมีค่า PER ปี 63 ที่ 11.7 เท่า ต่ำกว่าผู้ประกอบการรับเหมาโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมรายอื่น เช่น ALT และ ITEL ซึ่งมี PER ปี 63 เฉลี่ยสูงถึง 24.6 เท่า โดยยังมีอัปไซด์จากราคาพื้นฐานมากกว่า 20%
บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) : ปัจจุบันมี Backlog ระดับ 2.8 พันล้านบาท สูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส รองรับรายได้ถึงปี 64 และมีโอกาสรับงานใหม่ต่อเนื่องจากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของรัฐ ราคาหุ้นปัจจุบันไม่แพง มี PER ปี 63 เพียง 11 เท่า และมีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลตอบแทนสูงถึง 4.42%
บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) : เป็นหุ้นปลอดภัย มีความมั่นคงทางธุรกิจสูง และสามารถคาดหวังอัตราเงินปันผลตอบแทนปีละ 4% ต่อเนื่อง เหมาะกับการลงทุนช่วงที่ตลาดหุ้นไทยผันผวนสูง และราคาปัจจุบันมีอัปไซด์มากกว่า 20%
บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) : แนวโน้มธุรกิจปี 63-64 เติบโตชัดเจนจากธุรกิจหมูในไทยและเวียดนามเติบโตต่อเนื่อง อานิสงส์จากโรคอหิวาต์แอฟริการะบาดในจีนและเวียดนาม คาดกำไรสุทธิปี 63-64 เติบโต 16.8% และ 4.7% ตามลำดับ ขณะที่ราคาปัจจุบันยังมีอัปไซด์มากกว่า 20% จากราคาเป้าหมาย
บมจ.ซีพี ออลล์ (CPALL) : ธุรกิจผ่านช่วงกระทบหนักจากโควิด-19 ไปแล้ว แต่ราคาหุ้นยัง Underperform กลุ่มค้าปลีกที่ส่วนใหญ่เริ่มเต็มมูลค่า โดยคาดว่าธุรกิจจะฟื้นตัวได้ในครึ่งปีหลัง และสามารถรักษาฐานกำไรปี 63 ได้ใกล้เคียงกับปีก่อน และจะกลับมาเติบโต 9.5% ในปี 2564 ซึ่ง CPALL มีจุดแข็งทางพื้นฐานในระยะยาว เพราะเป็นผู้นำกลุ่มค้าปลีก-ค้าส่ง ขณะที่ราคาปัจจุบันซื้อขายที่ PER ปี 63 เพียง 26.8 เท่า ต่ำสุดในรอบหลายปี สวนทางกับโอกาสฟื้นตัวในระยะถัดไปที่คาดหวังได้
บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) : เป็นผู้ได้ประโยชน์จากการนำเข้า LNG มากกว่าผู้ประกอบการรายอื่น หลังจากได้เป็น LNG Shiper รายล่าสุดของไทย ซึ่งจะนำมาใช้กับโรงไฟฟ้า 5 โรง รวม 700 เมกะวัตต์ ซึ่งต้นทุนจะลดลงราว 200 ล้านบาท/โรง นอกจากนี้อยู่ระหว่างการศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าใหม่อีกหลายโครงการ หากสำเร็จจะเป็นอัปไซด์ต่อประมาณการ คาดกำไรปี 63-64 เติบโต 21% และ 25% ตามลำดับ ราคาหุ้นยังมีอัปไซด์ในระดับที่ดีเมื่อเทียบกับหุ้นโรงไฟฟ้าอื่น ๆ ที่เริ่มเต็มมูลค่า
*** บล.โนมูระ แนะนำ 5 หุ้น Top Pick
บล.โนมูระ พัฒนสิน แนะนำเลือกลงทุน หุ้นประเภท Defensive และ Laggard เนื่องจากมีความเสี่ยงพักฐานครั้งใหญ่ในไตรมาส 3/63 มีโอกาสลงไปทดสอบแนวรับ 1,286/1,210 จุด กรณีเลวร้ายสุด 1,100 จุด โดยมีปัจจัยเสี่ยงที่คอยกดดันคือ 1.การระบาดของโควิด-19 รอบสอง 2.สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ - จีน 3.ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน (บจ.) แย่กว่าคาด 4.ตลาดหุ้นไทยปัจจุบัน Valuation เริ่มตึงตัว หุ้นส่วนใหญ่อัปไซด์เริ่มจำกัด โดยคัดเลือก 5 หุ้น Top Pick ประกอบด้วย
หุ้น Top Pick จาก บล.โนมูระฯ
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัปไซด์*
|
คาดการณ์กำไรปี 63 (%)
|
%Div. Yield
|
BAM
|
29.5
|
23.95
|
-52.77
|
2.1
|
TU
|
16.8
|
21.74
|
16.23
|
3.43
|
AP
|
7
|
12.90
|
2.67
|
6.4
|
BDMS
|
24.9
|
12.16
|
-47.20
|
1.28
|
TASCO
|
29.2
|
10.19
|
-38.90
|
2.4
|
*%อัปไซด์เทียบราคาเหมาะสมกับราคาหุ้น 17 ก.ค.63
|
บมจ.บริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ (BAM) : สัญญาณ NPL เพิ่มสูงขึ้น เอื้อโอกาสต่อการสะสมพอร์ตหนี้เพิ่ม และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมบริหารหนี้ด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 44% คาดแนวโน้มกำไรจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 และจะกลับมาฟื้นตัวโดดเด่นในครึ่งปีหลัง จากการยึดทรัพย์ขายทอดตลาดกลับมาดำเนินการตามปกติ คาดกำไรปีนี้ 3.1 พันล้านบาท ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/BV เพียง 2.11 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มค่อนข้างมาก และจัดอยู่ในกลุ่มหุ้น Defensive ที่เหมาะกับภาวะตลาดปัจจุบัน
บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) : ผลกระทบจากโควิด-19 จะกดดันยกำไรไตรมาส 2/63 เป็นจุดต่ำสุด และฟื้นตัวโดดเด่นในครึ่งปีหลัง หลังเริ่มทยอยปลด Lock down ในหลายประเทศ รวมถึงจะได้รับผลประโยชน์เงินบาทอ่อนตัว โดยราคาหุ้นยัง Laggard กลุ่มอาหารค่อนข้างมาก
บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) (AP) : ผลประกอบการมีแนวโน้มโดดเด่นกว่ากลุ่มอุตสาหกรรม โดยเฉพาะกำไรในครึ่งปีหลัง เพราะมีการโอนคอนโดเข้ามามากและอาจจะทำนิวไฮรายไตรมาส ขณะเดียวกันเป็นหุ้นที่ราคายัง Laggard และ Undervalue รวมถึงมีอัปไซด์ในระดับที่ดี
บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) : มีศักยภาพสูงในการเติบโตระยะกลาง-ยาว เพราะประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ แม้ระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เนื่องจากลูกค้าต่างชาติหายไป (สัดส่วน 30%) แต่เริ่มเห็นการปรับตัว ลดต้นทุน และสร้างฐานรายได้จากผู้ป่วยประกัน-บริษัทเอกชน และมีจุดแข็งด้วยการเป็นโรงพยาบาลที่ครอบคลุมทั้งต้นน้ำ-ปลายน้ำ ราคาหุ้นปัจจุบันยัง Laggard หุ้นขนาดใหญ่อื่นๆ
บมจ.ทิปโก้แอสฟัลท์ (TASCO) : คาดจะพลิกกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป จากยอดขายเริ่มฟื้นทั้งในและต่างประเทศ ขณะที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ลดลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคาปรับเพิ่มขึ้น และราคาหุ้นอยู่ระหว่างฟื้นตัวในทิศทางขาขึ้น
*** บล.ฟินันเซีย ไซรัส แบโผ 5 หุ้น Top Pick
บล.ฟินันเซีย ไซรัส เลือก 5 หุ้น Top Pick ที่จะล้อไปกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และมีแนวโน้มฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังเปิดเมือง ประกอบด้วย
หุ้น Top Pick จาก บล.ฟินันเซีย ไซรัส
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัปไซด์*
|
คาดการณ์กำไรปี 63 (%)
|
%Div. Yield
|
DOHOME
|
13
|
13.04
|
-5.23
|
1.7
|
BEM
|
10.5
|
12.90
|
45.66
|
1.3
|
CK
|
22
|
12.24
|
-61.25
|
1
|
OSP
|
46
|
12.20
|
20.80
|
3.2
|
BDMS
|
23
|
4.55
|
-45.09
|
1.4
|
*%อัปไซด์เทียบราคาเหมาะสมกับราคาหุ้น 17 ก.ค.63
|
บมจ.ดูโฮม (DOHOME) : คาดกำไร 3 ปีข้างหน้า (64-66) เติบโตเฉลี่ย 14.4% จากแผนการขยายสาขาใหม่ต่อเนื่อง และการเพิ่มสินค้า House Brand ซึ่งมีมาร์จิ้นสูง แม้ปีนี้จะลดลงราว 5% จากผลกระทบโควิด-19 โดยราคาหุ้นซื้อขายบน Forward P/E ปี 63-64 ที่ 27.2 เท่า และ 21.7 เท่า ตามลำดับ ซึ่งถือว่าถูกกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่อยู่ระดับ 33 เท่า และ 27 เท่า ตามลำดับ
บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) : เป็นหุ้น Defensive มีแนวโน้มการเติบโตระยะยาว มีพื้นฐานแข็งแกร่งจากสัมปทานในมือ มีฐานนะมั่นคง และมีความพร้อมสำหรับการลงทุนประมูลรถไฟฟ้าและทางด่วนสายใหม่ในอนาคต ขณะที่สถิติผู้โดยสารรถไฟฟ้าและผู้ใช้บริการทางด่วนเริ่มฟื้นตัวจากการคลาย Lock Down คาดว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา และจะเข้าสู่ระดับปกติในครึ่งปีหลัง
บมจ.ช.การช่าง (CK) : คาดพลิกกำไรตั้งแต่ไตรมาส 2/63 เป็นต้นไป จากธุรกิจของ BEM ที่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดแล้ว และจะทยอยเข้าสู่ภาวะปกติในครึ่งปีหลัง ส่วนธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมีโอกาสรับงานใหม่ปี 63-64 ถึง 2.9 แสนล้านบาท โดยมีประเด็นบวกรออยู่จากการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มของ BEM ที่มีโอกาสชนะสูง ซึ่งหากเป็นไปตามคาดจะเติมงานให้ CK ราว 1.2 แสนล้านบาท และจะเป็น Catalyst สำคัญต่อราคาหุ้น
บมจ.โอสถสภา (OSP) : กำไรจะผ่านจุดต่ำสุดในไตรมาส 2/63 และฟื้นตัวโดดเด่นในครึ่งปีหลังต่อเนื่องถึงปีหน้า ทั้งจากโควิด-19 คลี่คลาย และเริ่มรับรู้กำลังผลิตใหม่ของโรงงานเครื่องดื่มในไทย และโรงงานเครื่องดื่มในเมียนมา ซึ่งจะหนุนการเติบโตกำไรขั้นต้นในระยะถัดไป รวมถึงจะได้ประโยชน์จากการลดภาษีสรรพสารมิตรเครื่องดื่ม Functional Drink จาก 10% เหลือ 3% ราคาหุ้นซื้อขายบน Forward P/E ปี 63-64 ที่ 29 เท่า และ 26 เท่า ตามลำดับ ต่ำกว่า CBG ซึ่งอยู่ที่ 34 เท่า และ 29 เท่า ตามลำดับ
บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ (BDMS) : คาดกำไรฟื้นตัวครึ่งปีหลัง จากการทยอยเปิดประเทศ ซึ่งจะทำให้ลูกค้าต่างชาติกลับมาใช้บริการได้ แม้กำไรรวมทั้งปี 63 จะต่ำกว่าปีก่อน แต่ระยะยาวมีแนวโน้มเติบโตแข็งแกร่ง ด้วยจุดแข็งการเป็นผู้นำในธุรกิจ มีโรงพยาบาลเครือข่ายมากที่สุดราว 50 แห่งครอบคลุมทั่วประเทศ
*** บล.หยวนต้า เปิดโผหุ้น 7 Wonders
บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เลือกหุ้น Top Pick 7 บจ. เน้นบริษัทที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และลุ้นสถานการณ์โควิด-19 ตลายตัว/โอกาสต้นพบวัคซีน เป็นหุ้นที่มีความสามารถในการปรับตัวทางธุรกิจทั้ง Operation และ Financial รวมถึงมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับเวลาเกิดเหตุการณ์ที่เหนือความคาดหมาย ประกอบด้วย
หุ้น Top Pick จาก บล.หยวนต้า
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัปไซด์*
|
คาดการณ์กำไรปี 63 (%)
|
%Div. Yield
|
MINT
|
28.75
|
51.32
|
-234.85
|
-
|
SUPER
|
1.47
|
47.00
|
44.52
|
0.9
|
CPF
|
42
|
23.53
|
29.31
|
2.6
|
INTUCH
|
64.5
|
13.16
|
-8.72
|
4.2
|
SCB
|
80
|
7.74
|
-7.90
|
6.9
|
PTT
|
40
|
3.23
|
-27.55
|
3
|
PTTGC
|
48
|
1.59
|
-33.08
|
1.1
|
*%อัปไซด์เทียบราคาเหมาะสมกับราคาหุ้น 17 ก.ค.63
|
บมจ.ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล (MINT) : ราคาหุ้นมีโอกาสฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง ตามสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกที่ดีขึ้น และจะปรับตัวโดดเด่นหากต้นพบวัคซีน แม้ปีนี้คาดจะขาดทุน แต่จะกลับมาฟื้นตัวตั้งแต่ปี 64 เป็นต้นไป และจำไปทำนิวไฮได้ในปี 65 จากองค์กรที่ Lean ขึ้น และการท่องเที่ยวกลับสู่ภาวะปกติ
บมจ.ซุปเปอร์ เอนเนอร์ยี คอร์เปอเรชั่น (SUPER) : เติบโตมั่นคงตามการรับรู้รายได้ของกำลังผลิตใหม่ และกำไรมีโอกาสทำนิวไฮต่อเนื่องถึงปี 2566
บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) : รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของการบริโภคและการท่องเที่ยวทั่วโลก หลังเริ่มทยอยคลาย Lock Down ขณะที่ราคาหมูและไก่ยังมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ราคาหุ้นซื้อขาย PER ปี 63 ที่ 14.1 เท่า ถูกที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงสัตว์บก
บมจ.อินทัช โฮลดิ้งส์ (INTUCH) : เป็นหุ้นปลอดภัยและคาดหวังเงินปันผลในระดับสูงสม่ำเสมอ
ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) : ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของสินเชื่อ และดอกเบี้ยผ่านจุดต่ำสุด
บมจ.ปตท. (PTT) : ราคาน้ำมันผ่านจุดเลวร้ายไปแล้ว และจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยราคาหุ้นจะ Outperform ในครึ่งปีหลัง จากทิศทางกำไรรายไตรมาสที่ฟื้นตัว และแผนการ Spin off ธุรกิจค้าปลีกเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) : ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 1/63 และจะ Outperform ในครึ่งปีหลัง โดยจะได้รับประโยชขน์จากตลาดน้ำมันที่มีความสมดุลมากขึ้น
*** บล.ไทยพาณิชย์ แกะซอง 5 หุ้น Top Pick
บล.ไทยพาณิชย์ แนะนำ ลงทุนหุ้นรายตัวที่มีลักษณะ Defensive มี Story เกี่ยวกับการเติบโต และหุ้นวัฏจักรที่มีความคาดหวังต่ำ ประกอบด้วย
หุ้น Top Pick จาก บล.ไทยพาณิชย์
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัปไซด์*
|
คาดการณ์กำไรปี 63 (%)
|
%Div. Yield
|
BBL
|
146
|
33.33
|
-18.82
|
2.6
|
BCH
|
19
|
29.25
|
11.01
|
1.7
|
ERW
|
4
|
19.05
|
-215.02
|
-
|
IVL
|
30
|
11.11
|
46.71
|
1.2
|
ADVANC
|
210
|
10.82
|
-9.04
|
3.5
|
*%อัปไซด์เทียบราคาเหมาะสมกับราคาหุ้น 17 ก.ค.63
|
ธนาคารกรุงเทพ (BBL) : เป็นทั้งหุ้น Defensive และ Laggard เพราะ Valuation ถูก มี P/BV เพียง 0.5 เท่า และ P/E เพียง 6.07 เท่า โดยราคาหุ้นปรับตัวต่ำกว่าตลาดช่วงที่หุ้นไทยรีบาวด์ ด้านธุรกิจมีสินเชื่อธุรกิจมากที่สุด ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบน้อยสุดในภาวะขาลง และมีโอกาสขยายสินเชื่อจากการที่บริษัทขนาดใหญ่เปลี่ยนมาระดมทุนด้วยการขอสินเชื่อแทนการออกตราสารหนี้
บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) : จำนวนผู้ป่วยเริ่มกลับมาใช้บริการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง หลังผ่อนคลาย Lock Down และมีปัจจัยสนับสนุนระยะสั้นจากการให้บริการทางการแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ขณะที่ Valuation ของราคาหุ้นยังน่าสนใจ ไม่แพง ซื้อขายที่ EV/EBIDA ปี 63 ระดับ 15 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอุตสาหกรรม
บมจ.ดิ เอราวัณ กรุ๊ป (ERW) : มีโอกาสในการเข้าเก็งกำไร เนื่องจากราคาหุ้นจะได้รับแรงสนับสนุนเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของภาครัฐ โดย ERW มีฐานลูกค้าคนไทยมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่น และมีโรงแรมกระจายทั่วประเทศ โดยเฉพาะโรงแรมชั้นประหยัด (HOP INN) และหากมีความชัดเจนเกี่ยวกับการควบคุมโควิด-19 ราคาหุ้นระยะสั้นมีโอกาสปรับตัวขึ้นไปได้ถึง 4.7 บาท
บมจ.อินโดรามา เวนเจอร์ส (IVL) : ภาพรวมธุรกิจแข็งแกร่งท่ามกลางโควิด-19 เพราะผลิตภัณฑ์ของ IVL ราว 80-85% เป็นสิ่งจำเป็นในการอุปโภค ขณะที่บริษัทไม่มีปัญหาด้านสภาพคล่องหรือการชำระหนี้
บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) : เป็นหุ้น Defensive กำไรผันผวนต่ำท่ามกลางภาวะตลาดที่ไม่ปกติ และมี Sentiment เชิงบวกจากการแข่งขันที่ลดลง ซึ่งตะช่วยสนับสนุนราคาหุ้นในระยะสั้น คาดว่าจะ Outperform ในไตรมาส 3/63 ส่วนระยะยาวเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง
*** บล.เคทีบี แจก 6 หุ้น Top Pick
บล.เคทีบี (ประเทศไทย) แนะนำ ลงทุนหุ้นรายตัว เน้นน้ำหนักหุ้นที่เป็น Domestic Play เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศดีขึ้นและรัฐบาลเริ่มกระตุ้นการลงทุน โดยแนะนำ 6 หุ้น Top Pick ประกอบด้วย
หุ้น Top Pick จาก บล.เคทีบี
|
ชื่อย่อหุ้น
|
ราคาเหมาะสม (บ.)
|
%อัปไซด์*
|
คาดการณ์กำไรปี 63 (%)
|
%Div. Yield
|
BCH
|
20
|
36.05
|
17.89
|
1.8
|
TACC
|
7
|
18.64
|
9.26
|
4.9
|
ORI
|
7.3
|
14.06
|
-24.35
|
5.5
|
CPF
|
35
|
2.94
|
11.54
|
3.6
|
SEAFCO
|
6.8
|
2.26
|
-10.24
|
4.6
|
RS
|
18
|
1.69
|
42.98
|
2.6
|
*%อัปไซด์เทียบราคาเหมาะสมกับราคาหุ้น 17 ก.ค.63
|
บมจ.บางกอก เชน ฮอสปิทอล (BCH) : เป็นโรงพยาบาลที่มีรายได้จากประกันสังคมสูง 36.4% และผู้ประกันตนยังลงทะเบียนไม่เต็มโควต้าอยู่ที่ 84% ขณะเดียวกันเป็นโรงพยาบาลที่มีการตรวจโควิ-19 ถึง 9 หมื่นเคส คิดเป็น 54% ของโรงพยาบาลเอกชนทั่วประเทศ คาดจะสนับสนุนให้กำไรปีนี้ขายตัวต่อเนื่อง ขณะที่มี Valuation ถูกเมื่อเทียบกับกลุ่ม
บมจ.ที.เอ.ซี. คอนซูเมอร์ (TACC) : คาดกำไรปี 63-64 เติบโตต่อเนื่อง 9% และ 12% ตามลำดับ จาก Economy of Scale การขยายสาขาของ 7-11 ทำให้รายได้เพิ่มขึ้นและซื้อวัตถุดิบได้ลดลง และธุรกิจมี Character Business ที่มีแนวโน้มเติบโต
บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) : มี Backlog แข็งแกร่งครอบคลุมรายได้ทั้งปี ซึ่งจะท้อนการฟื้นตัวของกำไรในครึ่งปีหลัง และจะเติบโตโดดเด่นในปี 64 จากคอนโอนคอนโดต่อเนื่อง รวมถึงมีการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากแนวราบมากขึ้น ขณะที่มีแนวโน้มการจ่ายเงินปันผลระดับ 5.5%
บมจ.เจริญโภคภัณฑ์อาหาร (CPF) : ราคาหมู-ไก่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการคลาย Lock Down และคู่แข่งขันจากประเทศอื่นติดโควิด-19 โดยคาดว่ากำไรปีนี้เติบโต 11% จากปีก่อน
บมจ.ซีฟโก้ (SEAFCO) : ได้รับผลบวกจากการเร่งรัดงานโครงการขนาดใหญ่ของภาครัฐ ซึ่งมีโอกาสเพิ่ม Backlog อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันเป็นหุ้นที่มีอัตราการจ่ายเงินปันผลสูงมากกว่า 4%
บมจ.อาร์เอส (RS) : รายได้ธุรกิจ Commerce ยังทำสถิติใหม่ต่อเนื่อง จะสนับสนุนทิศทางการเติบโตที่ดีในระยะยาว ขณะที่ราคาหุ้นตอบสนองเชิงบวกและมีแนวโน้มเป็นขาขึ้น ตอบรับการเติบโตของธุรกิจ Commerce
No comments:
Post a Comment