1 มิถุนายน 2563 ประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศจากสวนกุหลาบของทำเนียบขาวว่า หากผู้นำรัฐหรือผู้นำเมืองปฏิเสธการลงมือปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของคนที่อาศัยอยู่ในรัฐหรือเมืองนั้นแล้ว แกจะประกาศใช้กฎหมายปราบจลาจลสหรัฐฯปี 1807 (พ.ศ. 2350) ที่ให้อำนาจประธานาธิบดีส่งกองทัพเข้าปราบปรามความไม่สงบในประเทศได้
3 มิถุนายน 2563 ทันทีที่ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย นิวยอร์ก เพนซิลเวเนีย และเดลาแวร์ปฏิเสธคำขอของรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมที่ให้ส่งกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิหรือ National Guard ไปช่วยดูแลความมั่นคงที่กรุงวอชิงตัน ดีซี รัฐมนตรีกลาโหมก็ตัดสินใจเคลื่อนกำลังทหาร 1,600 นาย เข้าเตรียมความพร้อมนอกกรุงวอชิงตัน ดีซี ซึ่งทหารเหล่านี้เป็นกองพันทหารราบ Task Force 504 นอกจากนั้น ยังเตรียมเคลื่อนพลจากฐานทัพฟอร์ตแบรกก์ รัฐนอร์ทแคโรไลน และฐานทัพฟอร์ต ดรัม รัฐนิวยอร์ก เข้ามาสมทบเพื่อรับมือขั้นสูงสุดกับความรุนแรงผู้ชุมนุมประท้วงซึ่งลากมานานเกินสัปดาห์
กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯออกมาย้ำนักย้ำหนาว่าการระดมกำลังทหารเข้ามาในเมืองหลวงนั้น จะทำในกรณีที่จำเป็นเท่านั้น ทำเพื่อปกป้องทำเนียบขาวและสถานที่ราชการทุกแห่งในเมืองหลวง ในกรณีที่ตำรวจท้องที่และกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไม่สามารถควบคุมการจลาจลที่รุนแรงได้
การเคลื่อนพลทหารครั้งนี้ ทำให้เราเดาได้ว่าทรัมป์ขี้หดตดหายกลัวการจลาจลขนาดขี้ขึ้นสมอง เดิมก็มีกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิประจำอยู่ในกรุงวอชิงตันมากถึง 3,600 นาย จำนวน 1,300 นายเป็นกองกำลังฯ ของวอชิงตันเอง และระดมจากรัฐอื่นๆ อีก 2,300 นาย และคาดว่าน่าจะมีการส่งกองกำลังจากรัฐอื่นมาสมทบเร็วนี้อีก 1,300 นาย มีกองกำลังเยอะแยะขนาดนี้ ทรัมป์ยังต้องการเพิ่มอีก
‘พิทักษ์มาตุภูมิ’ เป็นหน่วยพิเศษในระบบกำลังสำรองของกองทัพสหรัฐฯ ขึ้นตรงกับผู้ว่าการรัฐและสำนักงานกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิ เรียกกันง่ายๆ ว่า ‘ทหารบ้าน’ มีทั้งหมด 4.5 แสนนาย มี 2 กองกำลัง คือของกองทัพบกและกองทัพอากาศ
ขณะที่ผมรับใช้ผู้อ่านท่านที่เคารพอยู่ตอนนี้ ทางการสหรัฐฯส่งเจ้าหน้าที่กองกำลังฯ 1.7 หมื่นนายเข้าดูแลความสงบเรียบร้อยในพื้นที่อย่างน้อย 23 รัฐ ทั้งแอริโซนา อลาสกา แคลิฟอร์เนีย โคโลราโด ฟลอริดา จอร์เจีย วิสคอนซิน ฯลฯ
กองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิไม่ใช่ทหารอาชีพที่ออกไปรบราฆ่าฟันกับศัตรูต่างชาติต่างภาษา แต่มีไว้รักษาความสงบและช่วยเหลือด้านความมั่นคงภายในรัฐเป็นหลัก โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยหลังการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน
พอหมาจะตาย เห็บก็เริ่มจะกระโดดหนี มีคนออกมาแสดงความที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจของทรัมป์เยอะครับ อย่างนายโจเซฟ บอร์เรล ผู้แทนระดับสูงของสหภาพยุโรปออกมาแถลงว่าสมาชิก 27 ชาติของสหภาพยุโรปหนุนการประท้วงอย่างสงบ และขอให้สหรัฐฯอย่าใช้ความรุนแรงกับประชาชน ขอให้เคารพกฎหมายและสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งประณามการใช้อำนาจรัฐจนทำให้จอร์จ ฟลอยด์ตาย และย้ำว่าทุกชีวิตสำคัญ ชีวิตคนผิวดำก็เช่นกัน
คนที่ไม่ค่อยได้ออกมาแสดงความเห็นทางการเมืองหลังจากลงจากตำแหน่งไปแล้วก็คือ อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช แต่ความรุนแรงในประเทศครั้งนี้ ทำให้บุชแห่งพรรครีพับลิกันเช่นเดียวกับทรัมป์ ถึงกับต้องออกมาเตือนสติทรัมป์ว่า การตายของนายจอร์จ ฟลอยด์ สะท้อนความล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาการเหยียดผิวในสหรัฐฯ และขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายรับฟังเสียงของผู้ประท้วงด้วย นายบุชยังขอให้ทุกฝ่ายร่วมมือกันและขออย่าสนับสนุนการใช้ความรุนแรง
แต่ทรัมป์ก็คือทรัมป์ ทรัมป์ทวีตสวนอดีตประธานาธิบดีบุชทันทีว่า รัฐบาลของแกทำเพื่อคนผิวสีมากกว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใดๆ นับตั้งแต่อับราฮัม ลินคอล์น แถมยังชมหน่วยงานความมั่นคงที่ใช้กำลังอย่างเต็มที่เพื่อควบคุมสถานการณ์ในวอชิงตัน
ทรัมป์มักทำสิ่งคาดไม่ถึง อีกไม่นานเราอาจจะได้เห็นสิ่งที่คาดไม่ถึงเกิดในสหรัฐฯ ยุคของทรัมป์มีอะไรที่คาดไม่ถึงเยอะ.
นิติการุณย์ มิ่งรุจิราลัย
songlok1997@gmail.com
อ่านเพิ่มเติม...
"เปิด" - Google News
June 05, 2020 at 05:01AM
https://ift.tt/2XwAt6D
เปิดฟ้าส่องโลก : ทรัมป์อาจทำสิ่งที่คาดไม่ถึง - ไทยรัฐ
"เปิด" - Google News
https://ift.tt/3cla53G
No comments:
Post a Comment